อาการปวดหลัง ปัจจุบันพบได้บ่อยและสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่จำเพาะเจาะจงเพศหรือกลุ่มอายุ ถึงแม้ว่าจะเป็นภาวะที่ไม่อันตรายร้ายแรงสามารถรักษาให้หายได้ ที่ผ่านมามีรายงานจากกรมการแพทย์ ระบุว่ามีจำนวนผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอาการปวดหลังเรื้อรังเพิ่มมากขึ้นในทุกช่วงอายุและในหลากหลายอาชีพ โดยเฉพาะหนุ่มสาววัยทำงานช่วงอายุตั้งแต่ 25 – 50 ปี สาเหตุอาจมาจากการทำงานที่เคร่งเครียด ไม่มีการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ส่งผลให้ร่างกายเกิดการอ่อนล้าและเสื่อมสภาพลงไป
ปวดหลัง |
1.กระดูกสันหลังเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย เป็นกระดูกแกนกลางที่ทำหน้าที่ในการรองรับน้ำหนักตัว และยังเกี่ยวข้องกับระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาทอีกด้วย กระดูกสันหลังมีลักษณะเป็นปล้องๆ ประกอบไปด้วยกระดูกทั้งหมด 24 ชิ้นที่เรียกว่า vertebrae เรียงซ้อนกันตั้งแต่กระดูกสะโพกถึงกะโหลกศีรษะ ซึ่งจะเรียกตำแหน่งตามตัวเลข ดังนี้
- ส่วนคอ (cervical spine) ประกอบด้วยกระดูก 7 ชิ้น (เรียกว่า C1-C7)
- ส่วนอก(thoracic spine) ประกอบด้วยกระดูก 12 ชิ้น (เรียกว่า T1-T12)
- ส่วนเอว (lumbar spine) ประกอบด้วยกระดูก 5 ชิ้น (เรียกว่า L1-L5) ซึ่งเป็นส่วนที่พบอาการปวดบ่อยที่สุด เนื่องจากเป็นส่วนที่รองรับน้ำหนักของร่างกายส่วนบน
- ส่วนกระเบนเหน็บ (sacral spine) ประกอบด้วยกระดูก 5 ชิ้น (เรียกว่า S1-S5) ซึ่งทั้งหมดจะรวมเป็นชิ้นเดียว เรียกว่ากระดูกก้นกบ
กระดูกสันหลังแต่ละปล้องประกอบด้วยกระดูกข้อต่อ 2 ชิ้นและมีหมอนรองกระดูกสันหลังคั่นระหว่างกระดูกแต่ละปล้อง ภายในหมอนรองกระดูกมีลักษณะคล้ายวุ้นหรือเจลลี่ ถ้าหากหมอนรองกระดูกมีการฉีกขาดและส่วนชั้นในเคลื่อนออกมากดทับเส้นประสาท ก็จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังขึ้นได้
ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/กระดูกสันหลัง
2.กล้ามเนื้อหลังยึดติดอยู่กับกระดูกสันหลัง โดยมีเส้นเอ็นที่ยึดกระดูกแต่ละชิ้นเข้าไว้ด้วยกัน
3.เส้นประสาทไขสันหลังในช่องโพรงกระดูกสันหลังจะมีเส้นประสาทไขสันหลังจำนวน 31 คู่ ทำหน้าที่รับความรู้สึกและสั่งงานไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
กระดูกสันหลังเป็นโครงสร้างที่เป็นแกนกลางของลำตัว และยังเกี่ยวข้องกับระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาท ซึ่งหากเกิดอาการปวดมากอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้
กระดูกสันหลังเป็นโครงสร้างที่เป็นแกนกลางของลำตัว และยังเกี่ยวข้องกับระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาท ซึ่งหากเกิดอาการปวดมากอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้
สาเหตุของอาการปวดหลังที่พบบ่อย
- ท่าทางหรืออิริยาบถ การเคลื่อนไหวร่างกาย และการใช้งานหลังที่ไม่ถูกต้อง เช่น การนั่งทำงานในท่าก้มหลังหรือนั่งเอียงเป็นเวลานาน การยกของหนักผิดวิธีโดยใช้การก้มหลัง
- ภาวะเสื่อมของกระดูกสันหลัง พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูกสันหลังมีการเสื่อม และยุบตัวลง ทำให้กระดูกหลังไม่มั่นคงเกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง ในบางรายอาจมีภาวะช่องกระดูกตีบแคบไปกดปลายประสาททำให้ขาเกิดอาการชาหรืออ่อนแรงได้
- หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท ซึ่งมักจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปวดหลังแบบเฉียบพลัน
- ภาวะเครียด อาจส่งผลให้มีการเกร็งของกล้ามเนื้อหลังตลอดเวลา ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดขึ้นได้
- กระดูกสันหลังอักเสบ เป็นภาวะที่มีการอักเสบของกระดูกสันหลัง พบได้บ่อยในกลุ่มชายวัยกลางคน มีอาการปวดหลังเรื้อรัง อาจมีข้ออักเสบอื่นๆร่วมด้วย
- สาเหตุอื่นๆ เช่น โรคของอวัยวะบางอย่างที่ทำให้เกิดอาการปวดร้าวมาบริเวณหลัง ซึ่งได้แก่ โรคไต โรคเกี่ยวกับรังไข่และมดลูก โรคที่เกี่ยวกับต่อมลูกหมาก หรือการกระจายของมะเร็งมาที่กระดูกสันหลัง เป็นต้น
ถึงแม้ว่าอาการปวดหลังอาจต้องใช้เวลานานกว่าอาการจะทุเลาลง แต่บางครั้งก็อาจมีอาการที่เป็นสัญญาณเตือนว่าควรรีบพบแพทย์ทันที ได้แก่
- อาการปวดหลังที่เป็นเรื้อรังติดต่อกันนานเกินกว่า 2 สัปดาห์
- มีอาการชาหรืออ่อนแรงของขาร่วมด้วย
- ปวดร้าวจากหลังลงสะโพก ขา จนถึงบริเวณน่องหรือเท้า
- อาการปวดหลังจากการได้รับบาดเจ็บหรือหกล้ม
- อาการปวดหลังร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ น้ำหนักลดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
การตรวจวินิจฉัย
แพทย์จะอาศัยการซักประวัติและการตรวจร่างกายเป็นสำคัญ ในบางกรณีอาจต้องทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจภาพถ่ายรังสี เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา
การรักษาอาการปวดหลัง
เป้าหมายของการรักษาอาการปวดหลัง คือ เพื่อลดอาการปวด และให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติที่สุด โดยการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดการปวดหลังและระยะเวลาที่เป็น ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยมุ่งรักษาที่ต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการและพยายามหาวิธีที่ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดน้อยที่สุดก่อน โดยทั่วไปการรักษาจะมีอยู่ 2 วิธีหลัก ได้แก่
- การรักษาแบบอนุรักษ์ (ไม่ผ่าตัด) มีวัตถุประสงค์เพื่อลดอาการปวด ให้ผู้ป่วยกลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว ประกอบด้วย
- การนอนพัก
- การให้ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อและยากล่อมประสาท
- ทำกายภาพบำบัด (ดึงหลัง ถ่วงหลัง)
- การบริหารกล้ามเนื้อเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง มีความยืดหยุ่น สนับสนุนซ่อมแซมโครงสร้างที่เสื่อมสภาพหรือบกพร่อง
ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง
- หลีกเลี่ยงท่าทางที่ทำให้ปวดหลัง
- บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและแผ่นหลัง
- งดสูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสบติด
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดอาหารรสจัด ของทอด อาหารไขมันสูง
- การรักษาโดยการผ่าตัด แพทย์จะใช้วิธีการรักษานี้เมื่อผู้ป่วยมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน เช่น ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ขาอ่อนแรง เดินไม่ได้ หรือเมื่อทำการรักษาโดยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
- ขจัดเอาสิ่งแปลกปลอม ในที่นี้หมายถึง เนื้อหมอนรองกระดูกสันหลังที่เคลื่อนผิดที่และกระดูกที่งอกหนาขึ้น กดทับเนื้อเยื่อประสาท เพื่อให้เส้นประสาทเป็นอิสระจากการกดทับ
- การจัดแนวกระดูกสันหลังให้อยู่ในแนวปกติ และการเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง