โรคอัมพฤกษ์ คือการที่อวัยวะของร่างกายอ่อนแรง โดยทั่วไปเมื่อพูดถึงโรคนี้มักจะหมายถึงการที่แขนขาอ่อนแรง แต่ในความเป็นจริงแล้วอวัยวะส่วนอื่นของร่างกายก็สามารถที่จะเกิดอาการนี้ได้เช่นกัน เช่น ophthalmoparesis คืออัมพฤกษ์ที่ดวงตา เกิดจากกล้ามเนื้อกลอกตาบางมัดอ่อนแรง gastroparesis คือ การอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่กระเพาะ และ vocal cord paresis คือ การอัมพฤกษ์ของเส้นเสียง
อาการโรคอัมพฤกษ์ |
โดยทั่วไปโรคอัมพฤกษ์นั้นมีความใกล้เคียงกันกับโรคอัมพาตมากๆ ทั้งสาเหตุและอาการแสดงของโรค โดยสองโรคนี้สามารถแยกออกจากกันได้จากระดับความรุนแรงของโรค ผู้ป่วยทั้งสองโรคนี้จะมีอาการอ่อนแรงเหมือนๆกัน โดยผู้ป่วยอัมพฤกษ์จะยังพอมีแรงเหลืออยู่บ้าง จึงยังสามารถขยับร่างกายได้ ใช้งานได้แต่ไม่ดีเท่าคนปกติ อาจมีอาการชา ไม่สามารถหยิบจับของหนัก หรือหยิบจับดินสอเพื่อเขียนหนังสือได้ และในส่วนของผู้ป่วยอัมพาตนั้นจะไม่เหลือแรงแม้แต่จะขยับร่างกายในส่วนที่เกิดโรคได้เลย จึงสรุปได้ว่าอัมพฤกษ์นั้นมีความรุนแรงน้อยกว่าอัมพาต
สาเหตุของโรคอัมพฤกษ์มีอะไรบ้าง
สาเหตุโรคอัมพฤกษ์ |
เช่นเดียวกับโรคอัมพาต โรคอัมพฤกษ์ก็มีสาเหตุหลักมาจากโรคเลือดเลือดสมองเช่นเดียวกัน ส่วนสาเหตุอื่นๆ ก็ยังคงเหมือนกัน ได้แก่
- การอุดตันของหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- การได้รับบาดเจ็บ (Trauma)
- โรคโปลิโอ (Poliomyelitis)
- โรคสมองพิการ (Cerebral palsy)
- โรคเส้นประสาท (Peripheral Neuropathy)
- โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)
- โรคโบทูลิซึม (Botulism)
- ภาวะความบกพร่องของกระดูกสันหลัง (Spina bifida)
- โรคเส้นประสาทหลายเส้นอักเสบเฉียบพลัน (Guillain Barre’syndrome)
- โรคปลอกประสาทอักเสบ (Multiple sclerosis)
ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น สาเหตุหลักของโรคอัมพฤกษ์เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง
- Embolic stroke คือสภาวะที่เกิดลิ่มเลือดหลุดลอยไปอุดตันที่หลอดเลือดสมอง ซึ่งถ้าเกิดที่หลอดเลือดแดงใหญ่อาการก็จะเป็นมาก แต่หากเกิดการอุดตันที่หลอดเลือดแดงเล็กกว่า อาการที่แสดงก็จะน้อยกว่า อ่อนแรงไม่มาก โดยทั่วไปภาวะนี้มักจะมีความสัมพันธ์กับผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง การบริโภคอาหารไขมันสูงเป็นประจำ การสูบบุหรี่ การไม่ออกกำลังกาย ความผิดปกติของหัวใจและโรคเลือดบางชนิด ผู้ป่วยที่มีปัจจัยทั้งหมดนี้สะสมอยู่เป็นเวลานานจะส่งผลให้ผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัวขึ้นเนื่องจากการตีบและอุดตัน จนสุดท้ายสมองเกิดการขาดเลือดเกิดเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตในที่สุด ซึ่งในกรณีนี้ผู้ป่วยมักจะมีอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบร่วมด้วย
- Hemorrhagic stroke คือการที่หลอดเลือดสมองแตก เป็นภาวะที่มีความเสี่ยงต่อชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เพราะสามารถทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิตได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว โดยทั่วไปภาวะนี้พบได้ประมาณ 20% ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด เมื่อเกิดภาวะหลอดเลือดสมองแตกจะมีก้อนเลือดไปเบียดกดเนื้อสมอง ทำให้เนื้อสมองส่วนนั้นทำหน้าที่ผิดปกติไป ซึ่งภาวะนี้มักสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง เช่น การเป็นโรคความดันโลหิตสูงเป็นเวลานานโดยไม่รับการรักษา ความเครียด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาบางชนิด
- ภาวะไขมันในเลือดสูง – เพิ่มความเสี่ยงที่ไขมันจะไปเกาะพอกที่หลอดเลือดมากขึ้น ทำให้โอกาสที่จะกลายเป็นลิ่มเลือดที่ล่องลอยไปอุดตันในหลอดเลือดสมองเพิ่มมากขึ้น
- โรคความดันโลหิตสูง – ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจะมีโอกาสเสี่ยงมากขึ้นเป็น 3 – 17 เท่าของคนปกติ
- โรคเบาหวาน – ผู้ป่วยเบาหวานจะมีโอกาสเสี่ยงมากขึ้นเป็น 2 – 4 เท่าของคนปกติ
- อายุที่เพิ่มมากขึ้น – มากกว่า 65 ปีขึ้นไป
- เพศ – ผู้ชายมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้มากกว่าผู้หญิง
- การสูบบุหรี่ – ผู้ที่สูบบุหรี่จัดจะมีโอกาสเป็นโรคได้มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 3 เท่า
- ความอ้วน การมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน การไม่ออกกำลังกาย
- ความเครียด
- กิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ
- ยาบางชนิด เช่น การรับประทานยาแอสไพรินเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดหัวใจและสมอง แต่มีผลข้างเคียงคือทำให้มีเลือดออกในสมองได้
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด
- เนื้องอกในสมอง
ลักษณะการเกิดอาการของโรคอัมพฤกษ์ก็จะมีลักษณะเหมือนกันกับการเกิดโรคอัมพาต คืออาการจะเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันทันที เป็นนาทีหรือชั่วโมง ไม่มีอาการอื่นแสดงก่อนล่วงหน้า ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นนั้นจะมีความสัมพันธ์กับสมองส่วนที่ขาดเลือด กล่าวคือถ้าสมองด้านซ้ายขาดเลือด ร่างกายด้านขวาซึ่งโดยปกติจะถูกควบคุมโดยสมองด้านนี้ก็จะเกิดอาการอ่อนแรง ในทำนองเดียวกันถ้าสมองด้านขวาขาดเลือด ร่างกายด้านซ้ายก็จะเกิดอาการเช่นกัน
อาการที่พบบ่อยมีดังนี้
- แขนขา ด้านเดียวกันเกิดอาการอ่อนแรงทันที
- แขนขา ด้านเดียวกันและใบหน้าเกิดอาการชา
- อาการสับสน พูดไม่รู้เรื่อง พูดไม่ชัด
- มองเห็นไม่ชัด ตาพร่า อาจจะเห็นภาพเพียงบางส่วนหรือเห็นได้แคบลง
- หายใจลำบาก ติดขัด หอบเหนื่อย
- มึนงง วิงเวียน มีปัญหาในการทรงตัว เดินไม่มั่นคง
- ปวดศีรษะรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุ
- คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งเกิดจากความดันในสมองเพิ่มสูงขึ้น พบในผู้ป่วยเลือดออกในสมอง
4 อาการหลัก ที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคอัมพฤกษ์และอัมพาต
เรียกว่า ฟาต (FAST) คือ
- Facial weakness (ใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว)
- Arm weakness (แขนอ่อนแรง ไม่มีแรง)
- Speech difficult (พูดไม่ชัด พูดไม่ได้)
- Time to act (ทุกอาการเกิดพร้อมกันทันที)
การรักษาโรคอัมพฤกษ์
การรักษาโรคนี้ให้มีประสิทธิภาพนั้นจะสัมพันธ์กับสิ่งต่อไปนี้
การรักษาโรคอัมพฤกษ์ รวมถึงอัมพาต ทำได้โดยการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง ดังนี้
การรักษาโรคนี้ให้มีประสิทธิภาพนั้นจะสัมพันธ์กับสิ่งต่อไปนี้
- เวลาที่เข้ามาทำการรักษา โอกาสที่จะหายเป็นปกติจะมีมากขึ้น หากได้รับการรักษาที่เร็วขึ้น
- ระดับความรุนแรงของโรค ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงน้อยกว่าย่อมมีโอกาสที่จะหายเป็นปกติได้มากกว่าและใช้เวลาในการรักษาที่สั้นกว่า
- ความสามารถของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ความพร้อมของอุปกรณ์ เทคนิค วิธีการที่เหมาะสมในการรักษา
- ตัวผู้ป่วยเอง สภาพจิตใจของผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญมากต่อการรักษา
การรักษาโรคอัมพฤกษ์ รวมถึงอัมพาต ทำได้โดยการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง ดังนี้
- การให้ยาสลายลิ่มเลือด
- การให้รับประทานยาแอสไพริน
- การให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน (acute stroke unit) ซึ่งเป็นการรักษาที่ช่วยลดอัตราการตายหรือพิการได้ดีวิธีหนึ่ง
- ในรายที่มีอาการรุนแรงและมีการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดแดงใหญ่ Middle cerebral artery ในสมองอาจจะใช้วิธีการ “ผ่าตัดเปิดกะโหลก” (Hemicraniectomy) โดยมีผลทางการศึกษาระบุไว้ชัดเจนว่าการรักษาด้วยวิธีนี้สามารถลดอัตราการตายของผู้ป่วยได้จริง
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคอัมพฤกษ์
กลุ่มยาละลายลิ่มเลือด |
ในวงการแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้ในการรักษาโรคอัมพฤกษ์และอัมพาตได้โดยตรง แต่ก็มียาที่ช่วยรักษาอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งส่งผลในทางอ้อมช่วยในการรักษาโรคนี้ได้อยู่บ้าง
- ยาละลายลิ่มเลือด (Tissue plasminogen activator, tPA)
- ยาแอสไพริน การให้ยาแอสไพรินจะต้องให้ภายใน 48 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ ในขนาดอย่างน้อย 160 มิลลิกรัมต่อวัน จึงจะสามารถช่วยลดโอกาสของการตีบตันซ้ำของหลอดเลือดสมองได้ และลดอัตราการเสียชีวิตได้
สมุนไพรรักษาโรคอัมพฤกษ์ |
- สมุนไพรคำฝอย
- สมุนไพรดีปลี
- สมุนไพรปลาไหลเผือก
เป็นสมุนไพรที่ช่วยลดไขมันในเลือดทำให้โอกาสเกิดการอุดตันของเส้นเลือดในสมองน้อยลง