ภาวะปวดประจำเดือน คือ อาการปวดบีบเป็นพัก ๆ บริเวณท้องน้อย อาจร้าวไปถึงบริเวณหลัง บริเวณก้น หรือบริเวณต้นขา เป็นอาการปวดในระหว่างเริ่มมีประจำเดือนถึง 8-48 ชั่วโมง เนื่องจากร่างกายมีการหลั่งสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ออกมาทำให้มีการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก ผู้หญิงส่วนมากเมื่อเริ่มมีประจำเดือนแล้วจะมีอาการการปวดท้องขณะมีประจำเดือน จนบางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ใครๆก็ปวดกันทั้งนั้น แล้วแต่ว่าจะปวดมาก ปวดน้อย แตกต่างกันออกไป อาการปวดประจำเดือนที่ถือว่าไม่อันตรายและสามารถหายเองได้ คือ ต้องไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน สามรถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ในบางคนที่อาจจะมีอาการปวดรุนแรงมากจนถึงขั้นส่งผลต่อสุขภาพ รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน จนถึงกับต้องหยุดเรียนหรือหยุดงาน ในกรณีเช่นนี้ อาจเป็นอาการปวดที่อาจเกิดจากโรคร้าย ไม่ควรละเลยหรือทนปวดอยู่ ซึ่งอาจจะทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุโดยเร็ว
ปวดประจำเดือน |
การเกิดประจำเดือน (Menstruation)
เลือดประจำเดือน คือ เลือดที่เกิดจากการหลุดลอกสลายตัวของเนื้อเยื่อผนังมดลูกด้านในและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วย Inflammatory exudates, Proteolytic enzyme และเม็ดเลือดแดง โดยปริมาณเลือดที่ออกมานั้นถูกควบคุมโดย สมดุลระหว่างการสลายลิ่มเลือดจากพลาสมิน (Plasmin) เพื่อให้เลือดประจำเดือนไม่แข็งตัวเป็นลิ่มเลือด และออกมาได้โดยง่าย ร่วมกับกระบวนการแข็งตัวของเลือดที่บริเวณหลอดเลือดและเยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดลอกออก ซึ่งเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนสองชนิด ได้แก่ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนโปรเจสเตอร์โรน (Progesterone) ทำหน้าที่ควบคุมการสร้างและหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ระดับฮอร์โมนทั้งสองจะมีความสัมพันธ์กับการตกไข่จากรังไข่ โดยแต่ละรอบเดือนจะมีช่วงเวลาประมาณ 26-30 วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ทำให้ประจำเดือน เกิดขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง
ชนิดของการปวดท้องประจำเดือน มี 2 ชนิด ได้แก่
1.การปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ (Primary dysmenorrheal)
เป็นการปวดประจำเดือนที่เกิดขึ้นโดยไม่มีโรคทางออร์แกนิคในเชิงกราน โดย จะมีอาการนำก่อนที่จะมีการปวด ดังนี้
- อาการตึงคัดเต้านม
- อาการบวมที่เท้า
- อาการท้องอืด
- อาการซึมเศร้า
- อาการหงุดหงิด
อาการปวดแบบปฐมภูมิพบได้ร้อยละ 30-50 ของหญิงวัยเจริญพันธุ์ พบได้ในรอบการมีประเดือนที่มีการตกไข่ (ovulatory cycle) ซึ่งเกิดจากการที่มดลุกหดรัดตัว มักเกิดก่อนการมีประจำเดือน 1 วัน และอาการปวดจะหายไปในวันที่ 1-2 ของการมีประเดือน ลักษณะเป็นแบบ colicky pain มักปวดท้องน้อยเป็นส่วนใหญ่ ปวดร้าวไปที่ต้นขาและหลัง แต่จะไม่ปวดต่ำกว่าเข่าและไม่มีอาการเจ็บที่น่องด้วย
2.การปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ (Secondary dysmenorrheal)เป็นการปวดประจำเดือนที่มีสาเหตุมาจากพยาธิสภาพทางออร์แกนิคในเชิงกราน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าเป็นพยาธิสภาพแบบไหน อยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างไร ความเจ็บปวดกระจายอยู่ทั่วๆไปที่ท้องน้อย อาจจะปวดร้าวไปที่หลังและขา บางครั้งอาจมีลักษณะเป็นแบบ colicky pain ได้
สาเหตุของการปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ ได้แก่
อาการไม่สบายอื่นๆขณะมีประจำเดือน
ปวดท้องประจำเดือนที่ถือว่าผิดปกติ
วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการปวดประจำเดือน
สาเหตุของการปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ ได้แก่
- โรคการอักเสบ ติดเชื้อในเชิงกราน
- มดลูกคว่ำไปทางหลังและปากมดลูกตีบ
- มีสิ่งแปลกปลอมในโพรงมดลูก
- การเจ็บปวดของลำไส้ร่วมกับการมีประจำเดือน
- Adenomyosis ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการที่มีเยื่อบุโพรงมดลูกเข้าไปเจริญอยู่ในกล้ามเนื้อมดลูก
- ความผิดปกติของรังไข่
อาการไม่สบายอื่นๆขณะมีประจำเดือน
- เจ้าน้ำตา หดหู่ ร้องไห้โดยไม่ทราบสาเหตุ ตัดสินใจอะไรยาก สับสนและหลงลืมบ่อยๆ นอนหลับไม่เพียงพอรู้สึกเหมือนไม่ได้พักผ่อน เหนื่อยเพลียง่าย
- ขี้โมโห อารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย หรือบางทีอาจมีอาการวิตกกังวลมากกว่าปกติที่เคยเป็น รู้สึกสูญเสียโดยไม่มีสาเหตุ บางครั้งเราจึงได้ยินคำพูดที่ผู้ชายใช้เรียกผู้หญิงที่อยู่ระหว่างการมีรอบเดือนว่า “มนุษย์เมนส์”
- อาการท้องอืด บางครั้งอาจรู้สึกว่าเต้านมบวมและนิ่มกว่าปกติ บางรายอาจมีเต้านมคัดตึง มือเท้าบวม น้ำหนักขึ้น หน้าท้องป่องออกมากกว่าปกติ
- อาการใจสั่น ไม่มีแรง อ่อนไหวง่าย ร่างกายเจ็บป่วยบ่อยโดยไม่มีสาเหตุ ขาดความกระตือรือร้นทางเพศ มีปัญหาเกี่ยวกับผิวในระหว่างการมีรอบเดือน เช่น สิว ฝ้า
- อาการหิวบ่อย รับประทานอาหารมากกว่าปกติ โดยเฉพาะของหวาน และมีอาการเวียนศรีษะบ่อย
ปวดท้องประจำเดือนที่ถือว่าผิดปกติ
- ปวดท้องหลายวันก่อนมีประจำเดือน และปวดเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีประจำเดือน และอาจจปวดนานจนกระทั่งประจำเดือนหมดไป
- ปวดมากจนส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น ต้องหยุดเรียน หยุดงาน ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
- มีอาการปวดมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากรับประทานยาแก้ปวดแล้ว
- มีอาการปวดเวลาถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ ในขณะที่มีรอบเดือน
- มีเลือดออกมากกว่าปกติ
วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการปวดประจำเดือน
- วางกระเป๋าน้ำร้อนหรือผ้าชุบน้ำอุ่นที่บริเวณท้องน้อย จะช่วยบรรเทาอาการปวดให้ลดลงได้
- ดื่มน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีเกลือสูงและกาแฟ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณอุ้งเชิงกราน จะช่วยลดอาการปวด
- รับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุเหล็ก แม็กนีเซียม แคลเซียมและวิตามินบีรวม
- พักผ่อนให้เพียงพอระหว่างที่มีประจำเดือน
- รับประทานยาบรรเทาอาการปวด เช่น Paracetamol, Ibuprofen, Medfenamic acid, Buscopan หรืออาจรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมก็ได้