รังไข่ถือเป็นหนึ่งในอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง เพราะนอกจากหน้าที่ในการผลิตไข่ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิงแล้ว รังไข่ยังมีหน้าที่ในการผลิต เอสโทรเจน และ โพรเจสเทอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงอีกด้วยดังนั้นหากมีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับรังไข่ ก็จะมีผลการทำงานของระบบสืบพันธุ์ไม่มากก็น้อย จนสุดท้ายอาจส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยาก หรือการไม่สามารถมีบุตรก็เป็นได้
มะเร็งรังไข่ คือ การที่เซลล์บริเวณรังไข่มีการเจริญพัฒนาอย่างผิดปกติ มากเกินไป จนไม่สามารถควบคุมได้ เป็นมะเร็งชนิดที่พบบ่อยเป็นอันดับ 5 และมีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับ 4 ของมะเร็งที่พบบ่อยในเพศหญิง สามารถพบได้บ่อยในผู้หญิงวัย 40-60 ปี และอาจพบได้ในเด็กช่วงก่อนหรือหลังวัย 10 ปี
มะเร็งรังไข่ |
ชนิดของมะเร็งรังไข่จะแบ่งตามชนิดของเซลล์ที่เกิดมะเร็ง ดังนี้
- Epithelial tumor
เกิดที่เซลล์ผิวหรือเยื่อหุ้มของรังไข่ เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด สามารถแบ่ง
- Germ cell tumor
เกิดที่เซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตไข่
- Stroma tumor
เกิดที่เซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่มีหน้าที่สำคัญในการผลิต เอสโทรเจน และ โพรเจสเทอโรน
มะเร็งรังไข่ส่วนใหญ่เกิดจากเซลล์ที่เรียกว่า epithelial cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่อยู่เปลือกนอก และยังแบ่งชนิดย่อยๆ เป็นserous, mucinous, endometrioid, clear cellและ undifferentiated or unclassifiable
การดำเนินโรคของมะเร็งรังไข่แบ่งได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1 : เซลล์มะเร็งเจริญพัฒนาอยู่ภายในรังไข่ อาจจะเพียงข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง
- ระยะที่ 2 : เซลล์มะเร็งเจริญต่อไปจนมีการรุกล้ำสู่อวัยวะอื่น ในช่องเชิงกรานเกิดขึ้น
- ระยะที่ 3 : เซลล์มะเร็งกระจายต่อไปยังช่องท้อง รวมถึงต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง
- ระยะที่ 4 : เซลล์มะเร็งกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ที่อยู่ไกลมากขึ้น เช่น ตับ ปอด
สาเหตุของมะเร็งรังไข่มีอะไรบ้าง
มะเร็งรังไข่ |
สำหรับปัจจัยอื่นๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งรังไข่ มีดังนี้
- อายุ — 2 ใน 3 ของผู้ป่วยมะเร็งรังไข่มีอายุมากกว่า 55 ปี
- การรักษาโรคด้วยฮอร์โมนhormone replacement therapy (HRT) ต่อเนื่องนานกว่า 5 ปี
- การมีน้ำหนักเกิน หรือ โรคอ้วน
- การตรวจพบว่ามีซีสต์ในรังไข่
- สูบบุหรี่
- การเริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนช้ากว่าปกติ
- การมีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเต้านม
- การเป็นมะเร็งบางชนิด (มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก)
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบางอย่างที่พบว่าช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่ได้ ดังนี้
- ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ด
- ผู้ที่มีบุตร – ยิ่งจำนวนบุตรมาก ความเสี่ยงจะยิ่งลดลง
- การให้นมบุตร
- ผู้ที่ได้รับการตัดมดลูก
มะเร็งรังไข่มีอาการอย่างไร
มะเร็งรังไข่ อาการ |
มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีอาการใดๆ หรือมีแต่ไม่ชัดเจนในระยะเริ่มต้นของการเป็นมะเร็งรังไข่ โดยอาการเหล่านี้สามารถเกิดได้ในหลายๆ โรค ไม่ใช่อาการที่เฉพาะเจาะจงของโรคแต่อย่างใด ซึ่งอาการดังกล่าว มีดังนี้
- ปวดท้อง หรือปวดบริเวณกระดูกเชิงกรานเนื่องจากมีก้อนของเนื้องอกในช่องท้อง
- อาการท้องบวม หรือ รู้สึกว่าท้องใหญ่ขึ้นเป็นเวลานานเกิดจากมะเร็งได้มีการแพร่กระจายไปในบริเวณช่องท้อง
- อิ่มไวขึ้น รับประทานอาหารได้น้อยลง เบื่ออาหาร
- ปัสสาวะบ่อยขึ้น ในปริมาณที่มากขึ้น ปัสสาวะขัด
- น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ
- ปัญหาระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะลำไส้ เช่น ท้องผูก ท้องเสีย
- ปวดหลัง
- อาการอ่อนเพลียอย่างรุนแรง
- อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ
- อาจมีขนขึ้น เสียงห้าวเหมือนผู้ชายได้ เนื่องจากการสร้างฮอร์โมนที่ผิดปกติไปของรังไข่
มะเร็งรังไข่ยิ่งรู้เร็วเท่าไหร่ โอกาสในการรักษาหายขาดก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นหากมีอาการเหล่านี้ แม้เพียงแค่อาการใด อาการหนึ่ง ควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยต่อไป
การรักษามะเร็งรังไข่
มะเร็งรังไข่ วิธีรักษา |
วิธีรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งรังไข่ ระยะการดำเนินโรค และการแพร่กระจายของโรค นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย สุขภาพ ความแข็งแรงของผู้ป่วย รวมไปถึงเรื่องส่วนตัวบางอย่าง เช่น การวางแผนที่จะมีบุตรในอนาคต ก็มีผลต่อแผนการรักษาเช่นเดียวกันซึ่งโดยส่วนใหญ่ของผู้ป่วยมะเร็งรังไข่จะใช้วิธีรักษาด้วยการผ่าตัด ร่วมกับการใช้เคมีบำบัด
วิธีการรักษามะเร็งรังไข่ สรุปได้ดังนี้
1.การผ่าตัด
ผู้ป่วยมะเร็งรังไข่เกือบทั้งหมด มีความจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด โดยการผ่าตัดสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบตามการแพร่กระจายของมะเร็ง ดังนี้
ในกรณีนี้ แพทย์อาจเลือกตัดออกเฉพาะรังไข่และท่อนำไข่ข้างที่เป็นโรคเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องตัดออกทั้งหมด ซึ่งผู้ป่วยจะยังสามารถมีบุตรได้
ในกรณีนี้ไม่มีทางเลือกมากนัก โดยแพทย์อาจจำเป็นต้องตัดรังไข่ทั้งสองข้าง มดลูก รวมไปถึงต่อมน้ำเหลืองในบริเวณขาหนีบ และเนื้อเยื่อบริเวณโดยรอบออกทั้งหมด โดยวิธีการนี้จะเรียกว่า total abdominal hysterectomy (TAH) หรือ bilateral salpingo-oophrectomy (BSO)
การผ่าตัดในผู้ป่วยที่โรคอยู่ในระยะท้ายๆ ปกติจะทำการตัดเอาเนื้องอกออกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่ใช้เคมีบำบัดในการรักษาต่อไป
ผู้ป่วยมะเร็งรังไข่เกือบทั้งหมด มีความจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด โดยการผ่าตัดสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบตามการแพร่กระจายของมะเร็ง ดังนี้
- ในกรณีที่มะเร็งยังอยู่ภายในรังไข่ ยังไม่มีการแพร่กระจายออกไปภายนอก
ในกรณีนี้ แพทย์อาจเลือกตัดออกเฉพาะรังไข่และท่อนำไข่ข้างที่เป็นโรคเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องตัดออกทั้งหมด ซึ่งผู้ป่วยจะยังสามารถมีบุตรได้
- ในกรณีที่มะเร็งได้มีการกระจายออกนอกรังไข่
ในกรณีนี้ไม่มีทางเลือกมากนัก โดยแพทย์อาจจำเป็นต้องตัดรังไข่ทั้งสองข้าง มดลูก รวมไปถึงต่อมน้ำเหลืองในบริเวณขาหนีบ และเนื้อเยื่อบริเวณโดยรอบออกทั้งหมด โดยวิธีการนี้จะเรียกว่า total abdominal hysterectomy (TAH) หรือ bilateral salpingo-oophrectomy (BSO)
การผ่าตัดในผู้ป่วยที่โรคอยู่ในระยะท้ายๆ ปกติจะทำการตัดเอาเนื้องอกออกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่ใช้เคมีบำบัดในการรักษาต่อไป
2.เคมีบำบัด
เป็นการใช้ยาเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง ประเภทของเคมีบำบัดจะขึ้นกับชนิดของมะเร็งรังไข่เช่นกัน โดยทั่วไปนิยมใช้ยา carboplatin ในการรักษา ซึ่งอาจให้เพียงตัวเดียว หรือให้ร่วมกับยา paclitaxel ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ยังมียาอีกมากมายที่สามารถใช้ในเคมีบำบัดได้ โดยจะใช้ยาตัวใดนั้น ย่อมขึ้นกับวิจารณญาณของแพทย์
เคมีบำบัดสามารถทำหลังการผ่าตัด เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่ยังหลงเหลืออยู่ หรือใช้ในผู้ป่วยที่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ นอกจากนี้ยังสามารถทำก่อนผ่าตัดได้เช่นกัน เพื่อให้เนื้องอกหดเล็กลง
เป็นการใช้ยาเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง ประเภทของเคมีบำบัดจะขึ้นกับชนิดของมะเร็งรังไข่เช่นกัน โดยทั่วไปนิยมใช้ยา carboplatin ในการรักษา ซึ่งอาจให้เพียงตัวเดียว หรือให้ร่วมกับยา paclitaxel ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ยังมียาอีกมากมายที่สามารถใช้ในเคมีบำบัดได้ โดยจะใช้ยาตัวใดนั้น ย่อมขึ้นกับวิจารณญาณของแพทย์
เคมีบำบัดสามารถทำหลังการผ่าตัด เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่ยังหลงเหลืออยู่ หรือใช้ในผู้ป่วยที่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ นอกจากนี้ยังสามารถทำก่อนผ่าตัดได้เช่นกัน เพื่อให้เนื้องอกหดเล็กลง
3.รังสีรักษา/การบำบัดด้วยรังสี
เป็นการฉายรังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง แม้จะไม่ได้รับความนิยมเหมือนการผ่าตัดและเคมีบำบัด แต่การใช้รังสีก็มีให้เห็นอยู่บ้าง โดยมักจะทำหลังจากการผ่าตัด เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่
ยาที่ใช้ในการรักษามะเร็งรังไข่
การให้ยาผู้ป่วย(เคมีบำบัด) อาจทำหลังจากการผ่าตัด ก่อนการผ่าตัด หรือทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดก็ได้ ผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ส่วนใหญ่มักจะได้ยา carboplatin โดยแพทย์อาจให้ร่วมกันกับยาpaclitaxel(Taxol) และโดยทั่วไปของการรักษา ผู้ป่วยจะต้องได้รับยาในทุกๆ 3 สัปดาห์ รวมทั้งหมด 6 ครั้ง ทั้งนี้หากอาการของผู้ป่วยยังไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องใช้เวลารักษานานขึ้น
ยาที่ใช้ในผู้กลับมาเป็นซ้ำ
ในกรณีของผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ รายที่เคยรักษาหายแล้วกลับมาเป็นซ้ำ มียาหลากหลายมากมายที่แพทย์สามารถเลือกใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นยาสองชนิดที่กล่าวไปแล้ว หรือยาชนิดอื่นๆ ซึ่งอาจพิจารณาได้จากผลการรักษาของครั้งที่ผ่านมา การตอบสนองต่อยา และผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น โดยทั่วไปหากการรักษาเป็นไปด้วยดี และโรคมะเร็งได้หายไปเป็นระยะเวลานานพอ แพทย์ก็อาจจะให้ยาcarboplatin อีกครั้ง และเช่นเคย ยาชนิดนี้สามารถให้ร่วมกันกับยาอื่น โดยเฉพาะ paclitaxel ได้
ยาอื่นๆ ที่สามารถใช้รักษาผู้กลับมาเป็นมะเร็งรังไข่ซ้ำ มีดังนี้
สมุนไพรที่ใช้รักษามะเร็งรังไข่
แม้ว่าจะมีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณของยาสมุนไพรจีนบางอย่างว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งรังไข่ได้ แต่ก็ได้มีการออกมาเตือนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคมะเร็งของระบบสืบพันธุ์สตรี จากสมาคมมะเร็งนรีเวชไทยซึ่งระบุชัดเจนว่า ไม่มีความน่าเชื่อถือมากพอของผลการรักษา เป็นเพียงการรับข้อมูลกันแบบปากต่อปากเท่านั้น นอกจากนี้หากผู้ป่วยบางรายได้รับยาเคมีบำบัดอยู่ก่อนแล้ว การรับประทานสมุนไพรเพิ่มเข้าไป อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา จนสุดท้ายอาจทำให้แผนการรักษาล้มเหลวได้
เป็นการฉายรังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง แม้จะไม่ได้รับความนิยมเหมือนการผ่าตัดและเคมีบำบัด แต่การใช้รังสีก็มีให้เห็นอยู่บ้าง โดยมักจะทำหลังจากการผ่าตัด เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่
ยาที่ใช้ในการรักษามะเร็งรังไข่
การให้ยาผู้ป่วย(เคมีบำบัด) อาจทำหลังจากการผ่าตัด ก่อนการผ่าตัด หรือทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดก็ได้ ผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ส่วนใหญ่มักจะได้ยา carboplatin โดยแพทย์อาจให้ร่วมกันกับยาpaclitaxel(Taxol) และโดยทั่วไปของการรักษา ผู้ป่วยจะต้องได้รับยาในทุกๆ 3 สัปดาห์ รวมทั้งหมด 6 ครั้ง ทั้งนี้หากอาการของผู้ป่วยยังไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องใช้เวลารักษานานขึ้น
ยาที่ใช้ในผู้กลับมาเป็นซ้ำ
ในกรณีของผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ รายที่เคยรักษาหายแล้วกลับมาเป็นซ้ำ มียาหลากหลายมากมายที่แพทย์สามารถเลือกใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นยาสองชนิดที่กล่าวไปแล้ว หรือยาชนิดอื่นๆ ซึ่งอาจพิจารณาได้จากผลการรักษาของครั้งที่ผ่านมา การตอบสนองต่อยา และผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น โดยทั่วไปหากการรักษาเป็นไปด้วยดี และโรคมะเร็งได้หายไปเป็นระยะเวลานานพอ แพทย์ก็อาจจะให้ยาcarboplatin อีกครั้ง และเช่นเคย ยาชนิดนี้สามารถให้ร่วมกันกับยาอื่น โดยเฉพาะ paclitaxel ได้
ยาอื่นๆ ที่สามารถใช้รักษาผู้กลับมาเป็นมะเร็งรังไข่ซ้ำ มีดังนี้
- Paclitaxel (ไม่ได้ใช้ร่วมกับยาอื่น)
- Liposomal doxorubicin (Caelyx, Myocet or Doxil)
- Gemcitabine
- Cisplatin
- Topotecan
- Etoposide
- Cyclophosphamide
สมุนไพรที่ใช้รักษามะเร็งรังไข่
แม้ว่าจะมีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณของยาสมุนไพรจีนบางอย่างว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งรังไข่ได้ แต่ก็ได้มีการออกมาเตือนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคมะเร็งของระบบสืบพันธุ์สตรี จากสมาคมมะเร็งนรีเวชไทยซึ่งระบุชัดเจนว่า ไม่มีความน่าเชื่อถือมากพอของผลการรักษา เป็นเพียงการรับข้อมูลกันแบบปากต่อปากเท่านั้น นอกจากนี้หากผู้ป่วยบางรายได้รับยาเคมีบำบัดอยู่ก่อนแล้ว การรับประทานสมุนไพรเพิ่มเข้าไป อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา จนสุดท้ายอาจทำให้แผนการรักษาล้มเหลวได้