ลมพิษคือกลุ่มอาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง ประมาณร้อยละ 15 – 20 ของประชากรทั่วไปจะเคยมีผื่นลมพิษเกิดขึ้นอย่างน้อยซักครั้งหนึ่งในชีวิต ดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นโรคที่พบได้บ่อย ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการแสดงทางผิวหนังเป็นลักษณะของผื่นนูนแดง ร่วมกับอาการคัน โดยความผิดปกตินี้มักจะเป็นอยู่ไม่เกิน 1-2 วัน จากนั้นผื่นก็สามารถยุบลงได้เอง และมักจะเป็นๆ หายๆ
โดยทั่วไปจะแบ่งเป็นสองชนิดตามระยะเวลาของการเป็นโรค ชนิดที่พบได้บ่อยกว่าคือ ชนิดที่มีอาการเป็นไม่เกิน 6 สัปดาห์ ซึ่งเรียกว่าลมพิษชนิดเฉียบพลัน ส่วนอีกชนิดจะพบน้อยกว่า และโดยมากมักจะพบในผู้หญิงวัยกลางคน คือลมพิษเรื้อรัง โดยระยะเวลาจะนานเกินกว่า 6 สัปดาห์
สาเหตุของโรคลมพิษมีอะไรบ้าง
โรคลมพิษ |
สาเหตุที่ทำให้เป็นผื่นลมพิษมีหลากหลายมาก โดยส่วนใหญ่ในรายที่เพิ่งมีอาการเป็นครั้งแรกจะเกิดจากอาหารและยา ซึ่งอาการมักเกิดหลังจากรับประทานไม่กี่ชั่วโมง การหาสาเหตุของโรคจึงเป็นไปอย่างง่ายดาย เพราะตัวผู้ป่วยเองก็สามารถบอกได้ ต่างจากในผู้ป่วยรายที่เป็นมานาน มักจะหาสาเหตุได้ยากกว่า อย่างไรก็ตามผู้ป่วยควรจะทำสมุดบันทึกส่วนตัว เพื่อบันทึกว่าผื่นมักจะขึ้นในช่วงไหนของวัน หรือระหว่างการทำกิจกรรมใด หรือภายหลังการรับประทานอาหารหรือยาชนิดใด ก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยค้นหาสาเหตุของลมพิษได้
สาเหตุของโรคลมพิษสรุปคร่าวๆ ได้ ดังนี้
1.การติดเชื้อ
ไม่ว่าจะเป็นจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือแม้แต่จากพยาธิก็ตาม ล้วนสามารถเป็นสาเหตุให้เกิดลมพิษได้ ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้อาจเข้าสู่ร่างกายของเราได้ในหลายๆ ทาง ได้แก่ ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจทางเดินปัสสาวะ และจากการสัมผัสเชื้อโรคโดยตรงทางผิวหนัง
ไม่ว่าจะเป็นจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือแม้แต่จากพยาธิก็ตาม ล้วนสามารถเป็นสาเหตุให้เกิดลมพิษได้ ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้อาจเข้าสู่ร่างกายของเราได้ในหลายๆ ทาง ได้แก่ ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจทางเดินปัสสาวะ และจากการสัมผัสเชื้อโรคโดยตรงทางผิวหนัง
2.สารเคมีปนเปื้อนจากอาหาร
ในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนเกิดอาการของผื่นลมพิษ สิ่งที่ผู้ป่วยรับประทานเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือยานั้น สามารถเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการได้ทั้งนั้น เช่น การปนเปื้อนของยาฆ่าแมลงในผัก ผลไม้ ที่นำมาประกอบอาหาร ยาปฏิชีวนะที่อาจตกค้างอยู่ในเนื้อสัตว์ เป็นต้น
3.สภาพทางสิ่งแวดล้อม
ความร้อน ความเย็น แสงแดด สามารถเป็นสาเหตุทำให้เกิดผื่นลมพิษได้เช่นกัน
ความร้อน ความเย็น แสงแดด สามารถเป็นสาเหตุทำให้เกิดผื่นลมพิษได้เช่นกัน
4.ยา
ไม่ว่าจะเป็นยาชนิดใดก็ตาม ล้วนสามารถเป็นต้นเหตุทำให้เกิดผื่นลมพิษได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะจะพบบ่อยเป็นพิเศษ
5.สาเหตุอื่นๆ
โรคลมพิษมีอาการอย่างไร
- การเป็นหวัด ฟันผุ ก็ทำให้เกิดผื่นลมพิษได้
- ผู้ป่วยบางรายผื่นขึ้นตามรอยเกา หรือรอยขีดข่วนบนผิวหนัง หรือแม้กระทั่งผื่นที่ขึ้นตามรอยกดทับต่างๆ
- น้ำแข็ง ฝุ่น เกสรดอกไม้
โรคลมพิษมีอาการอย่างไร
อาการโรคลมพิษ |
อาการสำคัญทางคลินิกของลมพิษคือ ผื่นนูน บวม แดง มีลักษณะเป็นปื้นที่มีขอบเขตชัด รูปร่างกลม เป็นวงแหวน หรือเป็นขอบหยักโค้งล้อมรอบด้วยผื่นแดง ในผู้ป่วยบางราย ผื่นอาจจะมีสีซีดตรงกลาง โดยขนาดของผื่นจะมีตั้งแต่เป็นมิลลิเมตรไปจนถึงเซนติเมตร และมักมีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งโดยทั่วไปผื่นลมพิษแต่ละอันนั้นจะยุบหายไปเอง ภายในเวลาไม่นาน หลังจากนั้นเมื่อหายแล้วจะไม่มีร่องรอยใดๆ หลงเหลืออยู่อีก
Anaphylactic shock เป็นอาการอื่นที่อาจพบร่วมกับลมพิษได้ โดยถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจส่งผลให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตายได้ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการของลมพิษเฉียบพลัน ร่วมกับภาวะความดันต่ำ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน นอกจากนี้การบวมเฉพาะที่ (angioedema) ก็เป็นอีกอาการร่วมหนึ่งของผู้ป่วยลมพิษ
Anaphylactic shock เป็นอาการอื่นที่อาจพบร่วมกับลมพิษได้ โดยถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจส่งผลให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตายได้ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการของลมพิษเฉียบพลัน ร่วมกับภาวะความดันต่ำ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน นอกจากนี้การบวมเฉพาะที่ (angioedema) ก็เป็นอีกอาการร่วมหนึ่งของผู้ป่วยลมพิษ
การรักษาโรคลมพิษ
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะการรักษาโรคลมพิษที่ไม่มีภาวะ anaphylactic shock
1.หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นสาเหตุก่อโรค
- หลีกเลี่ยงภาวะที่อาจกระตุ้นให้เกิดผื่นลมพิษ เช่น ความเครียด อากาศร้อน แอลกอฮอล์ ยาบางประเภท เช่น opiates NSAIDS แอสไพริน และ ACE inhibitors
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ใส่สารปรุงแต่ง เช่น สีผสมอาหาร วัตถุกันเสีย
- หลีกเลี่ยงการรับประทานวิตามิน ยาบำรุง สมุนไพร และอาหารเสริมที่ไม่จำเป็น
ถึงแม้ว่าจะพบได้ไม่บ่อยนัก แต่ผื่นลมพิษสามารถเป็นอาการแสดงทางผิวหนังของโรคอื่นๆ ที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ได้ เช่น ลมพิษเรื้อรังที่พบในผู้ป่วย autoimmune thyroid disease
3.การรักษาเฉพาะที่
- การประคบหรืออาบด้วยน้ำเย็น สามารถช่วยลดอาการคันได้ แต่วิธีนี้ห้ามใช้ในผู้ป่วยลมพิษรายที่มีสาเหตุจากความเย็น
- โลชั่น หรือ แป้งเย็น ทีมีเมนทอลเป็นส่วนประกอบ เช่น คาลามายด์ สามารถใช้ทาเพื่อลดอาการคันได้เช่นกัน แต่ต้องระวังไม่ใช้ในปริมาณมากไป เพราะอาจทำให้ผิวหนังแห้ง ส่งผลให้ยิ่งคันได้
- ยาต้านฮีสตามีน H1 receptor
- ยาต้านฮีสตามีนที่ H2 receptor
- Tricyclic antidepressant Doxepin
- คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน
- Anabolic steroids
- Ketotifen
- ยากลุ่ม immunosuppressive
- ยาประเภท antileukotriene
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคลมพิษ
- ยาต้านฮีสตามีนที่ H1 receptor
- ยาต้านฮีสตามีนที่ H2 receptor
- Tricyclic antidepressant Doxepin
- Ketotifen (Zaditen®)
5.คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน
- อาจใช้ในผู้ป่วยลมพิษเรื้อรัง เฉพาะในรายที่มีการดื้อยาต่อการรักษา โดยต้องให้เพียงระยะสั้น
- อาจใช้ในลมพิษชนิดเฉียบพลันรุนแรงที่มีภาวะ anaphylaxic shock
6.Anabolic steroids
สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคลมพิษ
สมุนไพรที่สามารถนำมาใช้รักษาโรคลมพิษนั้นมีทั้งในรูปแบบของชนิดทา และชนิดรับประทาน ดังนี้
- เช่น danazol (200-600 มิลลิกรัมต่อวัน), stanozolol (2 มิลลิกรัมต่อวัน)
- ใช้ป้องกันผื่นลมพิษในผู้ป่วย hereditary angioedema
- ยากลุ่ม immunosuppressive เช่น tacrolimus, azathioprine, cyclosporine, methotrexate, cyclophosphamide, mycophenolate mofetil, intravenous immunoglobulin (IVIG), interferon-α (IFN- α)
- ยาประเภท antileukotriene เช่น zileuton, 5-lipooxygenase inhibitor เช่น zafirlukast montelukast
สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคลมพิษ
สมุนไพรที่สามารถนำมาใช้รักษาโรคลมพิษนั้นมีทั้งในรูปแบบของชนิดทา และชนิดรับประทาน ดังนี้
1.สมุนไพรชนิดทา
- เกลือธรรมชาติ ผื่นคันที่เกิดจากการแพ้อาหาร หรือสารต่างๆนั้น สามารถรักษาได้โดยใช้เกลือป่น ที่มาจากธรรมชาติ นำมาละลายน้ำ จากนั้นใช้ผ้าหรือสำลีชุบน้ำเกลือแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น 5- 10 นาที เพียงเท่านี้อาการลมพิษจะดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
- มะนาว
- นำมะนาวที่ผ่านการฝานบางๆ มาตบเบาๆ ที่บริเวณผื่นลมพิษ
- ผสมน้ำมะนาวกับน้ำสะอาด จากนั้นนำผ้าขนหนูมาชุบเพื่อใช้ประคบบริเวณผื่น
- หัวผักกาด ประคบบริเวณผื่นด้วยหัวผักกาดฝานที่ห่อด้วยผ้าบางๆ
- น้าผึ้ง ใช้น้ำผึ้งเจือจางทาบริเวณผื่นลมพิษ
- เปลือกล้วยน้ำว้าสุก ถูบริเวณผื่นลมพิษด้วยเปลือกกล้วยน้ำว้าสุก
- สีเสียด นำสีเสียดมาผสมกับปูนแดง (แบบที่ใช้รับประทานกับหมาก) มาใส่น้ำพอหมาด ใช้ทาบริเวณที่เป็นผื่นลมพิษ
- ใบพลู ตำใบพลูให้ละเอียด ผสมกับเหล้าขาว ใช้ทาบริเวณที่เป็นลมพิษ
- หัวข่าแก่ ตำหัวข่าแก่ให้ละเอียด ผสมเหล้าขาว ใช้มาทาบริเวณที่เป็นลมพิษ
- เสลดพังพอน ตำใบและหรือต้นของเสลดพังพอนให้ละเอียด นำมาผสมกับแป้งดินสอพองและเหล้า ใช้ทาบริเวณที่เป็นลมพิษ
- ใบขิงสด ใบพริกไทย ใบคนทีสอนำใบของสมุนไพรข้างต้นมาอย่างละเจ็ดใบ ตำรวมกันให้ละเอียด แล้วคั้นเอาน้ำที่ได้มาดื่มเพื่อแก้ลมพิษ
- ต้นขลู่นา สามารถใช้ได้ทั้งสามส่วนของต้นขลู่นา ทั้งราก ใบ และดอก โดยมาต้มรวมกันในน้ำสะอาดเพื่อดื่มบ่อยๆ นอกจากสรรพคุณการรักษาลมพิษแล้ว ยังสามารถด้วยขับปัสสาวะอีกด้วย